แชร์

พระสังกจายนะ วัดมหาธาตุ นครศรีธรรมราช

พระสังกจายนะ วัดมหาธาตุ นครศรีธรรมราช
ความเป็นมาของวัดมหาธาตุ
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่กลางใจเมืองนครศรีธรรมราช ในอดีตเป็นสันทรายเรียกว่า “หาดทรายแก้ว” ปัจจุบันอยู่ในเทศบาลนครศรีธรรมราชคือตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร เดิมเรียกว่า “วัดพระบรมธาตุ” หรือ “วัดพระธาตุ” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระมหาธาตุ” ตามประกาศของแผนกสังฆการี กระทรวงธรรมาการ เรื่องจัดระเบียบพระอารามหลวง ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๘ แม้เปลี่ยนชื่อมานานร่วมร้อยปี แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเรียก “วัดพระบรมธาตุ” หรือ “วัดพระธาตุ” ตามเจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่ฐานพระธาตุเจดีย์ ที่ตั้งวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมืองโบราณค่อนมาทางทิศใต้ มีเนื้อที่ ๒๕ ไร่ ๒ งาน มีถนนราชดำเนินตัดผ่านหน้าวัดเข้าใจว่าเดิมคงเป็นถนนในสมัยโบราณเช่นกัน สำหรับประวัติการสร้างวัดซึ่งปรากฎอยู่ในหลักฐานที่เป็นตำนานที่เรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชและตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้มีเนื้อหาคล้ายกับคัมภีร์ทาฐาวังสะของลังกา ซึ่งผู้แต่งได้ผูกเรื่องราวของพระบรมธาตุไว้กับตำนานของพระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ซึ่งสอดคล้องกันว่าวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๘๕๔ โดยพระนางเหมชาลาและเจ้าชายทนทกุมารและบาคู (นักบวช) ชาวลังกา เป็นผู้นำเสด็จพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน ณ หาดทรายแก้ว และสร้างเจดีย์องค์เล็ก ๆ เพื่อบรรจุไว้ ต่อมาปี พ.ศ. ๑๗๑๙ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ได้ทำการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมการบูรณะองค์เจดีย์ขึ้นมาใหม่เป็นทรงศาญจิ และในต่อมาในสมัยพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราช กษัตริย์พระองค์ที่ ๒ ได้นิมนต์พระภิกษุจากลังกา มาตั้งคณะสงฆ์และบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นไปตามแบบสถาปัตยกรรมทรงลังกา อันเป็นแบบที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน คือเป็นทรงระฆังคว่ำหรือโอคว่ำ โดยมีปล้องไฉน (ฉัตรวลี) ๕๒ ปล้อง รอบพระบรมธาตุเจดีย์มีเจดีย์องค์เล็ก ๑๕๘ องค์ พระบรมธาตุเจดีย์สูงจากฐานถึงยอด ๓๗ วา ๒ ศอก ยอดสุดของปล้องไฉน (ฉัตรวลี) หุ้มด้วยทองคำเหลืองอร่าม สูง ๖ วา (๒ เมตร) ๑ ศอก (๐.๕๐ เมตร) แผ่เป็นแผ่นหนาเท่าใบลานห่อหุ้มไว้น้ำหนัก ๑๔๑.๙๘๗ กิโลกรัม (หรือ ๙,๓๔๑.๓๑ บาททอง หรือ ๑๑๔.๒ ชั่ง) วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีโบราณสถานที่สำคัญ ๆ อื่น ๆ อาทิ พระวิหารหลวงหรือพระอุโบสถ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา วิหารสามจอมมีพระพุทธรูป “พระจ้าศรีธรรมโศกราช” ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ วิหารพระมหาภิเนษกรมณ์ (พระทรงม้า) ทางขึ้นไปบนลานประทักษิณ วิหารทับเกษตร วิหารเขียน และวิหารโพธิ์ลังกา ซึ่งเป็นที่จัดและแสดงโบราณวัตถุ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร แต่เดิมในสมัยโบราณเป็นศาสนสถานกลางของเมือง และถือว่าเป็นเขตพุทธาวาสจะไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา แต่ได้กำหนดให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดต่าง ๆ ที่รายล้อม ทำหน้าที่ดูแลพระบรมธาตุเจดีย์ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะสงฆ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งคณะสงฆ์ขึ้นดูแลมีตำแหน่งเป็นพระครูโดยมีพระครูเหมเจติยานุรักษ์เป็นหัวหน้า และมีผู้ช่วยอีก ๔ รูปคือพระครูกาเดิม พระครูการาม พระครูกาแก้ว และพระครูกาชาด มีหน้าที่ดูแลพระธาตุเจดีย์ร่วมกัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร อุปราชปักษ์ใต้ ได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดเพชรจริกมาจำพรรษาและพระราชนามชื่อวัดใหม่ว่า “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๘ ต่อมากรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารหรือวัดพระบรมธาตุได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ตลอดถึงการสร้างโบราณสถาน โบราณวัตถุ ขึ้นอีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งลำดับกาลแห่งการสร้างและบูรณะวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร มีดังนี้
พ.ศ. ๘๕๔ เจ้าชายทนทกุมารและพระนางเหมชาลา (พระโอรสธิดาในพระเจ้าท้าวโกสีหราชกับพระนางมหาเทวี ผู้ครองเมืองทันทบุรี) ได้สร้างวัดพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งองค์เดิมเจดีย์เป็นแบบศิลปะศรีวิชัย คล้ายกับเจดีย์กิริเวเทระ ที่เมืองโบโลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
พ.ศ. ๑๗๑๙ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ปฐมกษัตริย์ราชวงษ์ปทุมวงศ์ แห่งอาณาจักรตามพรลิงก์ ทรงสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นพร้อมกับการก่อสร้างองค์เจดีย์ขึ้นใหม่เป็นแบบเจดีย์ศาญจิ ต่อมาพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราช กษัตริย์พระองค์ที่ ๒ พระอนุชาของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ได้บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นแบบลังกาทรงระฆังคว่ำ หรือโอคว่ำ มีปล้องไฉน (ฉัตรวลี) ๕๒ ปล้อง สูงจากฐานถึงยอดปลี ๓๗ วา ๒ ศอก ยอดปลีของปล้องไฉนหุ้มทองคำเหลืองอร่าม สูง ๖ วา (๒ เมตร) ๑ ศอก (๐.๕๐ เมตร) แผ่เป็นแผ่นหนา เท่าใบลานหุ้มไว้น้ำหนัก ๑๔๑.๙๘๗ กิโลกรัม (หรือ ๙,๓๔๑.๓๑ บาททอง หรือ ๑๑๔.๒ ชั่ง) รอบพระมหาธาตุ มีองค์เจดีย์ล้อมรอบ ๑๕๘ องค์
สมัยสุโขทัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำทองแดงหล่อปิดทอง ยอดพระบรมธาตุและสร้างพระระเบียงโดยรอบทั้งหมด ๑๖๕ ห้อง พระพุทธรูป ๑๖๕ องค์ สร้าง กำแพง ๔ ด้าน สร้างวิหารสามจอม และพระรูปพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
พ.ศ. ๒๑๕๕-๒๑๕๙ สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ซ่อมแผ่นทองที่ปลียอดพระบรมธาตุเจดีย์
พ.ศ. ๒๑๙๐ สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ยอดพระบรมธาตุเจดีย์ได้ชำรุดหักลง และได้มีการซ่อมขึ้นใหม่
พ.ศ.๒๒๗๕ สมัยพระเจ้าหัวอยู่บรมโกศ มีการ
ดัดแปลงทางเข้าพระสถูปรอบพระบรมธาตุ และบริเวณหน้าวิหารพระทรงม้า
พ.ศ. ๒๓๑๒ สมัยกรุงธนบุรีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงปฏิสังขรณ์พระอารามทั่วไปภายในวัด และโปรดให้สร้างวิหารทับเกษตร ต่อออกจากฐานทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุได้บูรณะวิหารทับเกษตร วิหารหลวง และศาลากุฎิในพระอาราม ถมทรายเทปูนรอบพระบรมธาตุเจดีย์ ยกพื้นสูง ๗๕ ซม. กว้าง ๑ เมตร เรียกกันว่า “ทางเดินพระเจ้าตากสิน”
สมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) บูรณะพระวิหารหลวง วิหารทับเกษตร และพระบรมธาตุเจดีย์ที่ชำรุด และมีกาบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๓๗-๒๔๔๑ ได้บูรณะกำแพงชั้นนอก วิหารทับเกษตร วิหารธรรมศาลา วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน ปิดทองพระพุทธรูป ผู้นำในการบูรณะคือพระครูเทพมุนีศรีสุวรรณถู ปาฏมาภิบาล (ปาน) ต่อมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร อุปราชปักษ์ใต้ ได้ส่งพระสงฆ์จากวัดเพชรจริกมาดูแลรักษาวัด และในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราชได้โปรดพระราชทานนามชื่อวัดใหม่ว่า “วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร” ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๑๓ กรมศิลปากรได้ซ่อมแซมวิหารคดหรือพระระเบียงและก็มีการซ่อมแซมอีกหลายครั้ง สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้บูรณะปฏิสังขรณ์กลีบบัวทองคำให้มีความสวยงามยิ่งขึ้น ต่อมาได้มีการบูรณะซ่อมปลียอดทองคำโดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานคณะกรรมการโครงการเหรียญบาทสืบทอดพระธาตุเมืองคอน โดยมีกรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการบูรณะปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ ให้มีความมั่นคงและสวยงามมากยิ่งขึ้น
พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๑๗ ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง (พระอุโบสถ)
พ.ศ. ๒๕๓๐ ซ่อมกลีบบัวทองคำ ที่ฉีกขาดเปราะบาง เสื่อมสภาพเป็นสนิม เสริมความมั่นคงแข็งแรงที่กลีบบัวปูนปั้น เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๓๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมัยดำรงพระอิสสยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จอัญเชิญแผ่นกลีบบัวทองคำขึ้นประดิษฐานบนองค์พระบรมธาตุเจดีย์
พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๓๘ ได้บูรณะปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์และเสริมความมั่นคงปูนแกนในปลียอด ใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๕๐ ล้านบาท ใช้ทองคำ ๑๔๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้เริ่มการบูรณะซ่อมแซมยอดพระบรมธาตุเจดีย์ และกลีบบัวทองคำ(เนื่องจากเกิดสนิม) ทั้งนี้จังหวัดนครศรีธรรมราชสนับสนุนให้ดำเนินการบูรณะ โดยขอใช้งบประมาณพัฒนาของกลุ่มจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง จำนวน ๓๐.๙ ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายน ๒๕๖๑
วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหารในอดีตเป็นสถานที่ที่สำคัญที่ใช้ประกอบพระราชพิธี และพิธีที่สำคัญ ๆ ในอดีต เช่น การแต่งตั้งเจ้าเมือง การถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พิธีแรกนาขวัญ พิธีโล้ชิงช้า เป็นต้น กรมศิลปากรกรมได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นโบราณสถาน เล่ม ๕๓ ตอนที่ ๓๔ เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๙ และคณะกรรมการมรดกโลกมีมติในการประชุมคณะกรรมการสมัยที่ ๓๗ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ รับรองวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร เข้าสู่บัญชีเบื้องต้นก่อนเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต่อไป

Loading

Scroll to Top